พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) ต้นสกุล ณ ระนอง


คอซู้เจียง เกิดในปี ค.ศ. 1797 (ปีมะเส็ง พ.ศ. 2340) ที่ตำบล XIA YU SHE อำเภอ LUNGXI เมือง CHANGZHOU ไม่ไกลจากเมือง XIAMEN ซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวเมืองฮกเกี้ยนเดินทางมาประเทศไทยเมื่อ ค.ศ. 1822 หรือ พ.ศ. 2365 เมื่ออายุ 25 ปี คอซู้เจียงและพี่ชายคอซู้ฝู (Soo Foo) ได้เดินทางออกจากประเทศจีน มายังเมือง NANYANG อยู่ทางใต้ของปียังเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ สิ่งที่นำติดตัวมานอกจากเสื้อผ้าชุดสีน้ำเงินที่สวมใส่และไม้คานหาบแล้ว ยังมีความหวังความมานะอดทนอย่างมากที่ต้องการจะประสบความสำเร็จในบ้านเมืองใหม่ ชีวิตที่บ้านเดิมในเมืองจีนซึ่งอยู่ภายใต้การกดขี่ฉ้อราษฎร์บังหลวงของรัฐบาลแมนจู เป็นชีวิตที่ยากแค้นเช่นเดียวกับชาวจีนหลายพันคนซึ่งได้อพยพมาก่อนหน้านี้
ชีวิตที่ได้มาเริ่มต้นในผืนแผ่นดินใหม่ก็ไม่ดีไปกว่าเดิมเท่าใดนัก เพราะสมัยนั้นปีนังยังไม่เจริญ ทรัพย์สินก็ไม่มีติดตัวมา นอกจากไม้คานกับแรงกายเท่านั้น จึงเริ่มต้นเป็นกรรมกร ต่อมาได้ขอที่ดินจากรัฐบาลทำการเพาะปลูกผักผลไม้เป็นจำนวนที่ดิน 8 เอเคอร์ ที่ SUNGEI TIRAM ใกล้กับ BAYAN LEPAS AIRPORT ในปัจจุบัน สมัยนั้นต้องเดินทางด้วยเท้าไปกลับอาทิตย์ละครั้งเป็นระยะทาง 18 ไมล์ หาบผักและผลไม้ด้วยหาบที่นำติดตัวมา (ต่อมาได้หุ้มด้วยทอง) นำไปขายนอกเมือง GEORGE TOWN หกปีที่ปีนัง จากการทำงานด้วยความมานะอดทน ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นดังคาดหวัง จึงคิดตั้งต้นชีวิตใหม่ หาโชคลาภที่อื่นต่อไปด้วยเงินทองที่ได้สะสมไว้
คอซู้เจียงเดินทางออกจากปีนังมายังเมืองตะกั่วป่าโดยเรือสำเภา ซึ่งเป็นแผ่นดินในรัชกาลที่ 3 ได้ทำการค้าขายแลกเปลี่ยนเสื้อผ้า ปืน ดีบุก ถั่ว (ARECA NUTS) รังนก พริกไทย ฯลฯ ต่อมาได้รับความอุปการะจากท้าวเทพสุนทร[1]ในการทำการค้าขายในจังหวัดนั้น ครั้นมีทุนทรัพย์มากขึ้น จึงเห็นว่าเมืองพังงาเป็นทำเลที่มีโอกาสทำการค้าดีกว่าเมืองตะกั่วป่า จึงได้ย้ายครอบครัวและห้าง “โกหงวน” (KOE GUAN[2]) ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตลาดเมืองพังงา การค้าขายและธุรกิจเจริญขึ้น จึงต่อเรือกำปั่นใบลำหนึ่งแล้วลงเรือนั้นไปเที่ยวค้าขาย รับซื้อสินค้าที่เกาะหมาก (ปีนัง) ขายตามหัวเมืองชายทะเลตะวันตกไปจนถึงเมืองระนอง เมืองตระ (กระบุรี) รับซื้อสินค้าตามหัวเมืองเหล่านั้น มีดีบุก เป็นต้น กลับไปขายยังเกาะหมาก จากการเที่ยวค้าขายเช่นนี้ ทำให้รู้ลู่ทางการค้าเห็นว่าเมืองระนองซึ่งเป็นเมืองภูเขา มีดีบุกมากแต่มีผู้คนน้อย หากจะทำเหมืองแร่ดีบุกขนาดใหญ่ก็ไม่ต้องแย่งชิงกับผู้ใด จึงได้เข้ามาขอผูกอากรดีบุกเมืองระนอง และได้ย้ายครอบครัวมา บ้านเดิมที่ตลาดพังงาก็ยังเก็บรักษาไว้ด้วยความไม่ประมาท ถ้าทำการค้าไม่สำเร็จก็จะกลับไปอยู่เมืองพังงา (บ้านที่พังงานั้นยังรักษาไว้เป็นที่ระลึกต่อมาจนถึงชั้นบุตรหลาน)
ปลายสมัยรัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2387 คอซู้เจียง เข้ามายื่นเรื่องราวขอประมูลอากรดีบุก แขวงเมืองตระ และระนอง เพราะเห็นว่าที่เกิดแม่แร่ดีบุกยังมีอยู่มาก จะขอชักชวน ไทย จีน แขก มาทำเหมืองใหญ่เหมืองแล่นเข้ากัน 10 ตำบล พร้อมทั้งจะขอตั้งโรงกลวงขึ้นใหม่จากเดิมเป็น 6 โรง ถ้าทำหมด อากรครบปีมีภาษีกำไร จะทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายมากขึ้นอีกทุกๆปี จึงทรงพระกรุณาตรัสเหนืองเกล้าเหนือกระหม่อมว่า หลวงจำเริญวานิชทำมาหลายปีแล้ว อากรก็ยังค้างทบเท่ามากขึ้น ไม่เป็นที่ภาคภูมิขึ้นได้ จึงโปรดเกล้า ให้คอซู้เจียง เป็นหลวงรัตนเศรษฐี ตำแหน่งขุนนางนายอากร
คอซู้เจียง ขณะที่ขอประมูลอากรดีบุกนั้น มิใช่คอซู้เจียงอย่างสมัยที่เดินทางมาถึงเมืองไทยใหม่ๆแล้ว แต่เป็นพ่อค้าชั้นแนวหน้าผู้หนึ่ง มีห้างโกหงวน จำหน่ายและรับ-ส่ง สินค้าขาเข้า-ขาออก ระหว่างประเทศ มีเรือเดินทะเลค้าขายระหว่างไทยกับปีนัง
ในการทำอากรดีบุกนี้ คอซู้เจียงจะต้องส่งอากรดีบุกปีละ 2 งวด เป็นมูลค่าตกปีละ 14,000 ชั่ง (ประมาณ 1,120,000 บาท) เมื่อสมัยร้อยกว่าปีมาแล้ว
สมัยรัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2397 หลวงระนองป่วยถึงแก่กรรม ตำแหน่งเจ้าเมืองว่างอยู่ เดิมทีเมืองระนองขึ้นอยู่กับเมืองชุมพร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการตรัสว่า เมืองระนองเป็นเมืองอากรดีบุก อยู่ฝ่ายทะเลตะวันตกติดกับพม่า ซึ่งเป็นเขตแดนในอาณานิคมของอังกฤษ จะวางใจไม่ได้ ทรงพระราชดำริเห็นว่า หลวงรัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) ทำอากรดีบุกมาช้านานหลายปี เงินภาษีอากรของหลวงมิได้ขาดค้าง แล้วก็เป็นคนผู้ใหญ่ อารีอารอบ กรมการเมืองระนองก็รักใคร่นับถือ พอจะเป็นเจ้าเมืองระงับกิจทุกข์ของไพร่บ้านพลเมืองสืบต่อไปได้ จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานสัญญาบัตร ให้เลื่อนหลวงรัตนเศรษฐี เป็น พระรัตนเศรษฐี ผู้สำเร็จราชการเมืองระนอง (คำว่า “ผู้สำเร็จราชการ” ใช้ในหนังสือครั้งรัชกาลที่ 4 หมายความว่า เป็นผู้บัญชาการ มาใช้เป็นคำสูงศักดิ์ต่อในรัชกาลที่ 5)
เมื่ออังกฤษได้พม่าเป็นอาณานิคม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า เมืองตระและเมืองระนองขึ้นอยู่กับชุมพร จะรักษาทางชายแดนไม่สะดวก จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกเมืองตระและเมืองระนองเป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ มีพระราชดำริว่า พระรัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) ชักชวนเกลี้ยกล่อม ไทย จีน มาตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่เย็นเป็นสุข บ้านเมืองบริบูรณ์มั่งคั่งกว่าแต่ก่อนมาก รับทำอากรดีบุก พระราชทรัพย์ของหลวงทวีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน หามีระแวงในข้อราชการไม่ เป็นคนมีความชอบมาก เป็นผู้ใหญ่ ควรจะเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นให้ควรแก่ความชอบ จะได้เป็นเกียรติยศแก่นานาประเทศ จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรขึ้นเป็น พระยารัตนเศรษฐี ผู้สำเร็จราชการเมืองระนอง เมื่อปี พ.ศ. 2405
ในคราวที่พระราชทานสัญญาบัตรพระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรนายคอซิมก๊อง ผู้เป็นบุตรให้เป็น หลวงศรีโลหภูมิพิทักษ์ ตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองระนองด้วย
วิธีการปกครองหัวเมืองในสมัยนั้นเมื่อแรกยกเมืองระนองขึ้นเป็นหัวเมืองจัตวานั้น เจ้าเมืองกรมการได้ค่าธรรมเนียมต่างๆเป็นประโยชน์แทนเงินเดือน ต้องบำรุงบ้านเมืองโดยลำพัง แต่อาจทำไร่นาค้าขายหาผลประโยชน์ ได้ เรียกราษฎรใช้สอยในกิจการของตนได้ มีข้อห้ามเพียงอย่าฉ้อฉลกดขี่ให้ราษฎรเดือดร้อน สมัยนั้นบุคคลที่มีอำนาจ หรือมีอิทธิพลในเมือง คือ เจ้าเมือง กับ เจ้าภาษีนายอากร หัวเมืองใดใหญ่เจ้าเมืองเป็นคนสำคัญ เจ้าภาษีนายอากรก็อ่อนน้อม เจ้าเมืองสามารถเร่งเรียกภาษีอากรได้สะดวก ถ้าเป็นเมืองไม่สำคัญ หรือเป็นคนชั้นสามัญ เจ้าภาษีนายอากรก็มิสู้ยำเกรงแม้จนชวนเข้าหุ้นส่วนในเมืองนั้น ก็ไม่สนใจ แต่พระยาระนอง (คอซู้เจียง) เคยเป็นพ่อค้าอยู่ก่อน แล้วมาเป็นเจ้าภาษีนายอากรแล้วจึงเป็นเจ้าเมือง รู้ชำนาญในงานเหล่านี้อยู่แล้ว ครั้นได้มาเป็นผู้ว่าการเมือง จึงแลเห็นว่าต้องรวมอำนาจทั้ง 2 อย่างไว้ด้วยกัน จึงจะปกครองทำนุบำรุงบ้านเมืองได้สะดวกและเป็นประโยชน์ทั้งในราชการและส่วนตัวเองด้วย จึงขอรับผูกขาดเก็บภาษีอากรเมืองระนองด้วย ก็ได้รับอนุญาตตามประสงค์ เพราะสมัยนั้นเมืองระนองเป็นอย่างว่า “อยู่สุดหล้าฟ้าเขียว” พวกกรุงเทพฯ ที่รับทำภาษีอากรเป็นอาชีพไม่มีใครปรารถนาหรือกล้าไปรับภาษีอากรเมืองระนอง เพราะเหตุว่าอยู่ไกลบ้านเมืองเป็นป่าเขาประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง ก็ไม่มีทุนพอที่จะประมูลสู้พระยาระนองคอซู้เจียงได้ ภาษีอากรที่เก็บในสมัยนี้นมี 5 อย่างคือ ภาษีดีบุก ภาษีสินค้าเข้าเมือง 100 ชัก 3 ตามราคา อากรฝิ่น อากรสุรา อากรบ่อนเบี้ย เรียกว่า “ภาษีผลประโยชน์” (ต่อมาวิธีนี้ได้ขยายไปยังเมืองใกล้เคียง คือ ตะกั่วป่า พังงา และภูเก็ต)
การที่รวมอำนาจเช่นนั้น ถ้าดูเผินๆ ดูเหมือนจะเป็นทางให้ราษฎรได้รับความเดือนร้อน เพราะเจ้าเมืองจำต้องเก็บภาษีอากรส่งพระคลังให้ได้ปีละเท่านั้นๆ ถ้าเก็บได้มากขึ้นไปก็เป็นกำไรของเจ้าเมือง ถ้าเก็บได้น้อยเจ้าเมืองก็ขาดทุน เจ้าเมืองมีอำนาจบังคับบัญชาราษฎรได้ก็น่าจะเร่งเรียกเก็บเอาเงินภาษีอากรให้เกินพิกัดอัตราเพื่อหากำไร แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหัวเมืองเหล่านี้ผู้คนพลเมืองมีน้อย แต่มีแร่ดีบุกซึ่งเป็นของมีราคาอยู่ในแผ่นดินมาก จำต้องปกครองเอาใจ มิให้ราษฎรในท้องที่ทิ้งถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น แล้วยังต้องพยายามขวนขวายหาคนจากที่อื่นเข้ามาอยู่ในเมืองเพื่อเพิ่มแรงงานอีกด้วย ยิ่งมีคนเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้นเพียงใด กำไรของเจ้าเมืองซึ่งพึงได้ในภาษีอากรทั้ง 5 อย่าง ซึ่งรวมเรียกว่าภาษีผลประโยชน์ยิ่งมากขึ้น ความอันนี้เป็นเครื่องป้องกันมิให้เจ้าเมืองกดขี่ราษฎรในเมืองของตนอยู่ในตัว
พระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) ปกครองทำนุบำรุงเมืองระนองโดยวิธีดังกล่าว บ้านเมืองมีความเจริญ ส่วนตัวก็มีทรัพย์สมบัติเพิ่มขึ้นมาก ได้ขยายการทำเหมืองแร่ดีบุกข้ามเขาบรรทัดเข้ามาจดในแดนเมืองหลังสวน ใช้ทุนและกำลังของห้างโกหงวน บำรุงการค้าขายในเมืองหลังสวนเจริญขึ้นอีกเมืองหนึ่ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกเมืองหลังสวนขึ้นเป็นเมืองจัตวา ขึ้นต่อกรุงเทพฯ เหมือนอย่างเมืองระนอง
ตั้งแต่รัฐบาลยอมให้เจ้าเมืองรับผูกขาดเก็บอาษีอากรผลประโยชน์หัวเมืองฝ่ายตะวันตกในรัชการที่ 4 ดังกล่าวมา เมืองพังงา รวมถึงเมืองตะกั่วทุ่ง เมืองภูเก็ต เมืองตะกั่วป่า ได้เก็บภาษีเพิ่มขึ้น จนถึงปลายรัชกาลที่ 4 ประเทศในยุโรปต้องการซื้อดีบุกมากขึ้น ดีบุกก็ขึ้นราคา ผู้ที่ทำเหมืองดีบุกในแถบมลายู รวมทั้งในแดนอาณานิคมของอังกฤษและหัวเมืองในแดนไทย ก็พากันได้กำไรร่ำรวยมาก ผู้ปรารถนาจะหาผลประโยชน์ในการทำเหมืองดีบุกก็มีมากขึ้น เมืองเจ้าเมืองต้องส่งเงินหลวงมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ต่างก็ต้องขวนขวายคิดอ่าน จัดการให้เกิดผลประโยชน์ในบ้านเมือง อันเป็นทางที่จะเก็บภาษีอากรได้เงินมากขึ้น ก็ในหัวเมืองเหล่านั้นมีแต่แร่ดีบุก แต่จำนวนคนในพื้นเมืองมีน้อย พวกเจ้าเมืองจึงชักชวนจีนต่างด้าวเข้ามาทำเหมืองดีบุกให้มากขึ้น ทั้งที่เป็นเถ้าแก่ นายเหมือง และจีนกุลีกรรมกร ไม่มีโอกาสที่จะคัดเลือกคน ทั้งเถ้าแก่และนายเหมืองก็พยายามจะหากำไร หรือหาประโยชน์ต่างๆจากพวกกุลี เป็นต้นว่า ออกเงินกู้ ขายสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดบ่อนเบี้ย โรงฝิ่น เป็นต้น บางคนได้เงินแล้วก็ใช้หมด หรือกลายเป็นหนี้เป็นสินก็มี เพียงชั่วเวลา 3 ปี พวกกุลีจีนก็อยู่กันแออัดคับคั่งเป็นพันคน
ครั้นถึงตรุษจีน ปีชวด พ.ศ. 2419 ได้เกิดเหตุขึ้นที่เมืองระนอง พวกกุลีกำเริบต่อสู้เจ้าเมืองกรมการจนเกือบจะเสียเมืองระนอง ด้วยการเที่ยวไล่ฆ่าคนในตลาด แล้วคิดบุกปล้นเอาโรงภาษีพระราชทรัพย์ของหลวง บุกปล้นเสบียงอาหารในฉางและเผาบ้านเรือนราษฎรในแขวงเมืองระนอง 4 ตำบล แล้วพากันเอาเรือของเจ้าเมืองและเรือของราษำรประมาณ 8-10 ลำ หนีไปทางตะกั่วป่า เมืองภูเก็ต ประมาณ 300-4— คน หนีไปทางบก แขวงเมืองหลังสวน 300-400 คน เมื่อเมืองระนองค่อยสงบลง ด้ดวยมีเรือรบหลวงที่อยู่เมืองภูเก็ตไปช่วย แต่มีข่าวลือว่ากุลีเมืองระนองกำเริบตีเมืองระนองได้ จีนกุลีที่เมืองภูเก็ตก็กำเริบบ้างเป็นการใหญ่โต การปราบปรามพวกจีนกุลีที่เมืองภูเก็ต ต้องเกณฑ์กำลังต่างเมืองไปช่วยคล้ายกับเป้นการสงคราม จึงปราบปรามลงได้ แต่น้นมารัฐบาลก็จัดการป้องกัน คือให้เพิ่มเติมกำลังโปลิศและทหารอยู่เป็นประจำ เป็นต้น ก็มิได้มีเหตุเช่นน้นขึ้นอีก
เมื่อก่อนที่จะเกิดเหตุเรื่องจีนกุลีกำเริบที่เมืองระนอง พระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) มีใบบอกเข้ามากราบบังคมทูลว่า มีความแก่ชราลงมากแล้ว ขอพระราชทานกราบถวายบังคมลาไปเมืองจีน เพื่อบำเพ็ญการกุศลที่บ้านเดิมสักครั้งหนึ่ง ทรงมีพระบรมราชานุญาต เมื่อกลับมาจากเมืองจีนไม่ช้านักก็เกิดเหตุพวกจีนกุลีกำเริบ ครั้งเมื่อปราบปรามเรียบร้อยแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่า พระยารัตนเศรษฐี เป็นผู้ว่าราชการมาช้านานจนแก่เฒ่าชรา จะว่าราชการบ้านเมืองก็เป็นความลำบากแก่ตัวมาก เมื่อกลับมาแต่เมืองจีนถึงเมืองระนองทันราชการได้ช่วยข้าหลวงทหารปืนใหญ่เล็ก และกองทัพหัวเมืองปราบจลาจลราบคาบ บ้านเมืองจึงเรียบร้อยโดยเร็ว พระยารัตนเศรษฐีมีความชอบในราชการแผ่นดินมาก จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานสัญญาบัตร เลื่อนยศพระยารัตนเศรษฐีขึ้นเป็น พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี จางวางกำกับราชการเมืองระนอง และได้พระราชทานสัญญาบัตรตั้งให้พระศรีโลหภูมิพิทักษ์ (คอซิมก๊อง) ผู้ช่วยราชการ ซึ่งเป็นบุตรคนใหญ่ เป็นพระยารัตนเศรษฐี ผู้ว่าราชการเมือง สืบแทน
ตั้งแต่ออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองแล้ว พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) ก็จัดแบ่งการค้าขายให้แก่บุตรคือ บรรดาการที่เมืองระนองมอบให้พระยารัตนเศรษฐี (คอซิมก๊อง) การที่ห้างโกหงวน เมืองเกาะหมาก (ปีนัง) มอบให้หลวงศรีโลหภูมิพิทักษ์ (คอซิมขิม) ต่อมาเป็นพระยาอัษฎงคตทิศรักษา ห้างโกหงวนได้ทำธุรกิจสืบต่อมาจนถึงลูกหลาน มีธุรกิจหลายอย่างในเครือ คือ ธุรกิจประกันภัย (PENANG KHEAN GUAN INSURANCE CO., LTD.) การเพาะปลูกทำไร่ (PENANG-KEDAH-PERAK-BANGKOK-SINGAPORE) การค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆ (EASTERN TRADING CO., LTD.) การทำเหมืองแร่ดีบุก (TONGKAH HABOUR TIN DREDGING CO., LTD) โรงถลุงแร่ (EASTERN SMELTING CO., LTD.) และธุรกิจการเดินเรือทางทะเล (EASTERN SHIPPING CO., LTD) มีเรือกลไฟ (STEAMSHIP) 16 ลำ ซึ่งเป็นธุรกิจการเดินเรือทะเลที่ใหญ่ที่สุดในปีนัง ทำการค้าขายทางทะเลกับพม่า สยาม สุมาตรา สิงคโปร์ จีน ฮอลแลนด์ เมื่ออังกฤษได้ขยายอาณานิคมเข้ามาปกครองหลายประเทศทางแหลมมลายู ธุรกิจเหล่านี้ของ “โกหงวน” ก็ได้เริ่มขายกิจการไปทีละน้อย ปัจจุบันนี้ โกหงวน-กงลุน (TRUST) คงทำแต่ผลประโยชน์เกี่ยวกับร้านค้าและที่ดินที่ปีนังให้แก่ตระกูล ณ ระนอง ส่วนการที่เมืองหลังสวนมอบให้แก่พระจรูญราชโภคากร (คอซิมเต๊ก) ต่อมาเป็นพระยาจรูญราชโภคากร และคอซิมบี๊ บุตรคนเล็กเมื่อกลับจากเมืองจีน ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ 5 และรับราชการเป็นลำดับมาจนเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ต่อมาเป็นพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี
พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี จางวาง ได้รับราชการมาตั้งแต่รัชกาลที่ 3 ตลอดมาจนถึงรัชการที่ 5 อยู่ในที่จางวางเมืองระนองได้ 5 ปี 9 เดือน 16 วัน อายุ 86 ปี ถึงแก่อสัญกรรม วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2425 ได้จัดการฝังศพตามธรรมเนียมจีน มีฮวงซุ้ยที่เมืองระนอง และขอรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตนำคำจารึกศิลาปักไว้เป็นเกียรติยศ ณ ที่ฝังศพ ซึ่งได้พระราชทาน ณ ที่ดินตำบลเขาระฆังทอง อำเภอบางนอน แขวงเมืองระนอง คิดจำนวนเนื้อที่ 375 เส้นกับ 300 วา
พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) เมื่อได้เข้ามาตั้งบ้านเรือนทำการค้าขายอยู่เมืองพังงา ..ได้ทำการวิวาหมงคล แต่งงานการขันหมากกับหญิงผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อว่าเหรียญ เป็นบุตรจีนชาวเมืองตะกั่วป่า[3]
“เหรียญ” หรือ ซิทท์ กิ้ม เหลียน (SIT KIM LEAN) มีบันทึกเกี่ยวกับเครือญาติที่ปีนัง ระบุว่า ภรรยาของคอซู้เจียงมาจากปีนัง บิดาเป็นคนไทย มารดาเป็นจีน และเป็นมารดาของลูกๆของคอซู้เจียง ยกเว้นบุตรคนโตและบุตรคนเล็ก (คอซิมเจ่ง และ คอซิมบี๊) ลูกๆทุกคนเกิดในแผ่นดินไทย (คำสัมภาษณ์ คอ เชง โจ๋ย) มีสุสานของท่านอยู่ที่ระนอง แต่การไหว้สุสาน จัดไหว้ทั้งที่ระนองและปีนัง โดยบรรดาเครือญาติของทั้งสองแห่ง[4]
[1] ท้าวเทพสุนทร เป็นสตรีที่มีฐานะมั่งคั่ง เป็นภรรยาของ “น้อย ณ นคร” และเป็นมารดาของเจ้าเมืองหลายคนในคาบสมุทรตะวันตกขณะนั้น ท้าวเทพสุนทรมีนามเดิมว่า “ล้วน” เป็นธิดาของ โก เล ฮวน (Koh Lay Hyan) แห่งปีนัง ซึ่งความผูกพันดังกล่าว ประกอบกับคุณสมบัติส่วนตัวของคอซู้เจียง ทำให้เขาเป็น ”ดาวจรัสแสง” ดวงหนึ่งในคาบสมุทรตะวันตก
[2] High Source
[3] กศร.กุหลาบ อยู่ในหนังสือ มหามุขมาตยานุกูลวงศ์ ตีพิมพ์เมื่อ รศ. 116
[4] เสียชีวิต พ.ศ. 2431 หลังคอซู้เจียง 6 ปี
พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) มีบุตรชาย 6 คน คือ
คนที่ ๑ ชื่อคอซิมเจ่ง ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในรัชกาลที่ ๔ เป็นหลวงศรีโลหภูมิพิทักษ์ ตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองระนอง แล้วถึงแก่กรรมในตำแหน่งนั้น
คนที่ ๒ ชื่อคอซิมก๊อง ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในรัชกาลที่ ๔ เป็นหลวงศรีโลหภูมิพิทักษ์ ถึงรัชกาลที่ ๕ ได้เลื่อนขึ้นเป็นพระศรีโลหภูมิพิทักษ์และเป็นพระยารัตนเศรษฐีผู้ว่าราชการเมืองระนองแทนบิดา ต่อมาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี สมุหเทศาภิบาลมณฑลชุมพร และพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดีจางวางกำกับราชการเมืองระนอง
คนที่ ๓ ชื่อคอซิมจั๋ว ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในรัชกาลที่ ๕ เป็นหลวงศรีสมบัติ ผู้ช่วยราชการเมืองระนอง แล้วถึงแก่กรรม
คนที่ ๔ ชื่อคอซิมขิม ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในรัชกาลที่ ๕ เป็นหลวงแล้วเลื่อนเป็นพระศรีโลหภูมิพิทักษ์ ผู้ช่วยราชการเมืองระนอง แล้วได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาอัษฎงคตทิศรักษา ผู้ว่าราชการเมืองตระบุรี ( เป็นตำแหน่งกิตติศักดิ์ ด้วยในชั้นหลังมาเมืองตระจัดลงเป็นอำเภอขึ้นเมืองระนอง )
คนที่ ๕ ชื่อคอซิมเต็ก ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในรัชกาลที่ ๕ เป็นพระแล้วเลื่อนเป็นพระยาจรูญราชโภคากร ผู้ว่าราชการเมืองหลังสวน
คนที่ ๖ ชื่อคอซิมบี๊ ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๕ เป็นหลวงบริรักษ์โลหวิสัย ตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองระนอง แล้วเลื่อนเป็นพระอัษฎงคตทิศรักษา ผู้ว่าราชการเมืองตระบุรี ( เมื่อยังเป็นหัวเมืองจัตวา ) ต่อมาได้เป็นพระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี ผู้ว่าราชการเมืองตรังแล้วเลื่อนขึ้นเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต
ประวัติโดยย่อของพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง)